Carbon Footprint of Product (CFP) 
เกณฑ์ใหม่ของการเลือกวัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน
				
															ในปัจจุบัน วงการก่อสร้างทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับ “การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” มากขึ้น ไม่เพียงแต่คำนึงถึงคุณสมบัติด้านความแข็งแรงหรือความทนทาน แต่ยังรวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุการใช้งานของวัสดุด้วย หนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่ใช้วัดคือ Carbon Footprint of Product (CFP) หรือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์
Carbon Footprint of Product (CFP) คืออะไร?
															Carbon Footprint of Product (CFP) หรือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ คือ เครื่องหมายที่บอกปริมาณก๊าซคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกมาในตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งครอบคลุมทุกขั้นตอน ได้แก่
- การได้มาซึ่งวัตถุดิบ (Raw Material Acquisition)
 - กระบวนการผลิต (Manufacturing)
 - การขนส่ง (Transportation)
 - การใช้งาน (Usage Phase)
 - การกำจัดหรือรีไซเคิลเมื่อหมดอายุการใช้งาน (End of Life Disposal/Recycling)
 
การประเมินค่า CFP จะถูกแสดงออกมาเป็นตัวเลข kgCO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ซึ่งสามารถใช้เปรียบเทียบได้ว่าวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ใดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ยิ่งมีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนมาก ยิ่งส่งผลให้โลกร้อนได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีตัวเลขการปล่อยคาร์บอนต่ำ จะทำให้ลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้มากขึ้น
“เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” มีความสำคัญอย่างไร ในงานก่อสร้าง
- เป็นเกณฑ์การเลือกวัสดุที่ยั่งยืน : เจ้าของโครงการและวิศวกรสามารถใช้ “ค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” เป็นตัวชี้วัดในการเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับแนวทาง Green Building หรือโครงการก่อสร้างที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
 - ผ่านการรับรองตามมาตรฐานระดับสากล : หลายโครงการก่อสร้างทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มีการกำหนดให้วัสดุที่ใช้ต้องมีการรับรอง Carbon Footprint of Product หรือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
 - สร้างคุณค่าต่อองค์กร : การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เพียงช่วยลดโลกร้อน แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
 
ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ นวัตกรรมปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ แก้ปัญหาโลกร้อน
ในกลุ่มวัสดุงานระบบสุขาภิบาลและงานระบบอาคาร ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ (Syler Pipe) ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Carbon Footprint of Product อย่างเป็นทางการ
โดยมีค่า Carbon Footprint of Product อยู่ที่ 2.77 gCO2e ต่อหน่วยการผลิต ซึ่งถือว่ามีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุก่อสร้างประเภทท่อเหล็กชนิดอื่น ๆ
ค่า Carbon Footprint of Product (CFP) ของท่อเหล็กบุพีอี ไซเลอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับท่อเหล็กประเภทอื่น
															จากภาพจะเห็นได้ว่า ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ (2.77 gCO2e) มีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำกว่าท่อเหล็กกัลวาไนซ์ และท่อเหล็กดำ กว่า 1,000 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน
✅ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจก
✅ สนับสนุนการทำ Green Building
✅ เพิ่มความมั่นใจแก่เจ้าของโครงการและวิศวกรที่ต้องการวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หมายเหตุ : อ้างอิงข้อมูลค่า Carbon Footprint of Product จากเว็บไซต์ thaicarbonlabel
Carbon Footprint of Product (CFP) ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิด แต่ได้กลายเป็น มาตรฐานใหม่ในการเลือกวัสดุก่อสร้าง ที่ทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมก่อสร้างควรตระหนักถึง
การเลือกใช้วัสดุที่ได้รับการรับรอง CFP เช่น ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ ที่มีค่าเพียง 2.77 gCO2e ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังตอบโจทย์คุณภาพ ความทนทาน และการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกใบนี้
								
								