Search
Search
Search

โทร. 0 2634 9981-4

Search

โทร. 0 2634 9981-4

Carbon Footprint of Product (CFP)
เกณฑ์ใหม่ของการเลือกวัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน

Carbon Footprint of Product (CFP) เกณฑ์ใหม่ของการเลือกวัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน

ในปัจจุบัน วงการก่อสร้างทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับ “การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” มากขึ้น ไม่เพียงแต่คำนึงถึงคุณสมบัติด้านความแข็งแรงหรือความทนทาน แต่ยังรวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุการใช้งานของวัสดุด้วย หนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่ใช้วัดคือ Carbon Footprint of Product (CFP) หรือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์

Carbon Footprint of Product (CFP) คืออะไร?

Carbon Footprint of Product (CFP) คืออะไร?

Carbon Footprint of Product (CFP) หรือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ คือ เครื่องหมายที่บอกปริมาณก๊าซคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกมาในตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งครอบคลุมทุกขั้นตอน ได้แก่

  • การได้มาซึ่งวัตถุดิบ (Raw Material Acquisition)
  • กระบวนการผลิต (Manufacturing)
  • การขนส่ง (Transportation)
  • การใช้งาน (Usage Phase)
  • การกำจัดหรือรีไซเคิลเมื่อหมดอายุการใช้งาน (End of Life Disposal/Recycling)

การประเมินค่า CFP จะถูกแสดงออกมาเป็นตัวเลข kgCO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ซึ่งสามารถใช้เปรียบเทียบได้ว่าวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ใดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ยิ่งมีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนมาก ยิ่งส่งผลให้โลกร้อนได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีตัวเลขการปล่อยคาร์บอนต่ำ จะทำให้ลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้มากขึ้น

“เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” มีความสำคัญอย่างไร ในงานก่อสร้าง

  • เป็นเกณฑ์การเลือกวัสดุที่ยั่งยืน : เจ้าของโครงการและวิศวกรสามารถใช้ “ค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” เป็นตัวชี้วัดในการเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับแนวทาง Green Building หรือโครงการก่อสร้างที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • ผ่านการรับรองตามมาตรฐานระดับสากล : หลายโครงการก่อสร้างทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มีการกำหนดให้วัสดุที่ใช้ต้องมีการรับรอง Carbon Footprint of Product หรือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
  • สร้างคุณค่าต่อองค์กร : การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เพียงช่วยลดโลกร้อน แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)

ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ นวัตกรรมปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ แก้ปัญหาโลกร้อน

ในกลุ่มวัสดุงานระบบสุขาภิบาลและงานระบบอาคาร ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ (Syler Pipe) ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Carbon Footprint of Product อย่างเป็นทางการ

โดยมีค่า Carbon Footprint of Product  อยู่ที่ 2.77 gCO2e ต่อหน่วยการผลิต ซึ่งถือว่ามีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุก่อสร้างประเภทท่อเหล็กชนิดอื่น ๆ

ค่า Carbon Footprint of Product (CFP) ของท่อเหล็กบุพีอี ไซเลอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับท่อเหล็กประเภทอื่น

ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ (2.77 gCO2e) มีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำกว่าท่อเหล็กกัลวาไนซ์ และท่อเหล็กดำ กว่า 1,000 เท่า

จากภาพจะเห็นได้ว่า ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ (2.77 gCO2e) มีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำกว่าท่อเหล็กกัลวาไนซ์ และท่อเหล็กดำ กว่า 1,000 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน

✅ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจก

✅ สนับสนุนการทำ Green Building

✅ เพิ่มความมั่นใจแก่เจ้าของโครงการและวิศวกรที่ต้องการวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

หมายเหตุ : อ้างอิงข้อมูลค่า Carbon Footprint of Product จากเว็บไซต์ thaicarbonlabel

Carbon Footprint of Product (CFP) ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิด แต่ได้กลายเป็น มาตรฐานใหม่ในการเลือกวัสดุก่อสร้าง ที่ทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมก่อสร้างควรตระหนักถึง

การเลือกใช้วัสดุที่ได้รับการรับรอง CFP เช่น ท่อเหล็กบุพีอีไซเลอร์ ที่มีค่าเพียง 2.77 gCO2e ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังตอบโจทย์คุณภาพ ความทนทาน และการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกใบนี้